เปิดฉากแล้วสำหรับงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018” บริษัทรับสร้างบ้านขนแบบบ้านราคาล้านต้นๆจนถึง 500 ล้านบาทฉวดโฉม พร้อมอัดโปรโมชั่น ทั้งแจกทอง ให้ส่วนลด มั่นใจ 4 วันกวดยอดขาย 2,700 ล้านบาท
นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่าตลาดรับสร้างบ้านโดยรวมเมื่อปีที่แล้วมีมูลค่า 10,500 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะทำยอดได้ 12,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคม 70% หรือ 8,400 ล้านบาท โดยครึ่งปีที่ผ่านมาทำได้แล้ว 4,000 ล้านบาท
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมรา บ้านระดับราคา 2.5-5 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 80 %เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามด้วยราคา 5.1-10 ล้านบาทโตขึ้น 21 % ราคา 10.1-20 ล้านโต 12 % ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปโต 3 % ราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาทโต 16 %
การที่บ้านราคา 2.5-5 ล้านบาทโตถึง 80 % หรือเท่ากับ 48 % เมื่อคิดเป็นจำนวนหลัง ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านที่เคยรับสร้างระดับราคา 10 -20 ล้านบาทหันลงมารับสร้างบ้านระดับราคา 5 ล้านบาท
บ้านระดับราคา 2.5-5 ล้านบาทมีขนาดพื้นที่ใช้สอย 150-300 ตารางเมตร ค่าก่อสร้างเฉลี่ยอยู่ที่ 18,000-20,000 บาท/ตารางเมตร การที่บ้านระดับราคาช่วงนี้มีการขยายตัวมาก เพราะกลุ่มผู้บริโภคเร่งตัดสินใจปลูกสร้างบ้านด้วยเกรงว่าราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากขณะนี้ราคาวัสดุก่อสร้างเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กอย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีการปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น เพราะได้มีการปรับขึ้นไปแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่หลังจากจบงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561 บริษัทรับสร้างบ้านคงจะมีการปรับราคาบ้านขึ้นประมาณ 3 %
สำหรับงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018 ซึ่งเริ่มแล้ววันนี้ นอกจากมีโปรโมชั่นลุ้นรับทองคำมูลค่า 3 แสนบาทแล้ว ยังมอบส่วนลด 5,000 บาทเมื่อจองปลูกสร้างบ้าน ราคาไม่เกิน 5,000,000 บาท ให้ส่วนลด 10,000 บาท กับบ้านราคาเกิน 5,000,000 บาทขึ้นไป โดยการจัดงานครั้งนี้มีบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ บริษัทวัสดุก่อสร้าง บริษัทออกแบบและตกแต่ง สถาบันการเงิน บริษัทอุปกรณ์-เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน สื่อสายอสังหาริมทรัพย์ รวมกว่า 40 บูธ มีแบบบ้านให้เลือกว่า 1,000 แบบ ตั้งเป้ายอดขาย 4 วันไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านบาท และยอดขายตามมาภายหลังอีกไม่ต่ำกว่า 3,200 ล้านบาท