แอสเซทไวส์ ผลประกอบการทะลุเป้า กวาดยอดขายปี 61โต 46 % ด้วยยอดขาย 6,065 ล้านบาท ปี 62 เตรียมเปิดอีก 7 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท ตั้งเป้าขาย 7,300 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวคอนโดแบรนด์ใหม่ ไอโวรี่ มูลค่า
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าว่าในปีที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายได้ 6,065 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46 % ปี 2562 วางแผนเปิดใหม่ 7 โครงการ มูลค่า8,800 ล้านบาท เป็นแนวสูง 5 โครงการ มูลค่า 7,300-7,400 ล้านบาท แนวราบ 2 โครงการ โดยจะมีคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ไอโวรี่(IVORY)แบบโลไรท์ตั้งอยู่บนพื้นที่ 600 ตร.ว.ซอยรัชดาภิเษก 32 มี204 ยูนิตราคา 85,000 บาท/ตร.ม.มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
โครงการ เคฟ ทาวน์ KAVE Town)บางโพ ติดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ บนพื้นที่ 9ไร่ครึ่ง จำนวน1,073 ยูนิต ราคา 65.000 บาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 2.000 ล้านบาท
โครวการ AtMOZ บนเนื้อ4ไร่อยู่ริมคลองประปา จ.นนทบุรี มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท มี626 ยูนิตราคา 65,000 บาท/ตร.ม.
โครงการ โมดิ คอลเลคชั่น สามเสน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบางโพ มูลค่า 1,200 ล้านบาท จำนวน 287 ยูนิต ราคา 130,000 บาท/ตร.ม.
โครงการบ้าน puri puri ลาดพร้าว 41 มี6ยูนิตมูลค่า 90 บ้านบาท และที่พัฒนาการ 37 ยูนิค มูลค่า 530 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย7,300 ล้านบาท ยอดรัยรู้รายได้ 4,200 ล้านบาท
การเปิดโครงการในปี 2562 ยังคงมุ่งเน้นใน 3 ด้าน คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นการตั้งอยู้ในทำเลศักยภาพที่ดี มีความสะดวกสบายในการเดินทาง รวมถึงการสร้างความแตกต่างด้วยดีไซน์พื้นที่ใช้สอยที่โดดเด่น การออกแบบอาคารที่ทันสมัย ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครัน
การพัฒนาบุคลากร โดยยกระดับความเป็นมืออาชีพของพนักงานในด้านการบริการ การพัฒนาการบริการจัดการดูแลลูกค้า และลูกบ้าน ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน เช่นการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปบประกอบการปีที่ผ่านมา มีการเปิดโครงการไป 6 โครงการรวมมูลค่า 6,800 ล้านบาท ขายได้6, 065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น46%
โดยภาพรวมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะการท่องเที่ยวที่ทำรายได้หลักให้กับ ประเทศยังดีอยู่ อีกทั้งนับตั้งแต่รัฐบาลประกาศให้มีเลือกตั้งเศรษฐกิจก็เริ่มกลับมา อย่างไรก็ตาม คอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ต่อยูนิต น่าจะเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ โดยในส่วนของบริษัทจะพัฒนาโครงการระดับราคาเฉลี่ย 6.5-7 ล้านบาทต่อยูนิตขนาดเล็กสุด 23 ตารางเมตร เปิดให้จองได้คนละไม่เกิน 2 ยูนิต เพื่อสกัดนักลงทุน ป้องกันกู้ไม่ผ่านจนทำให้ โอนไม่ได้ แล้วต้องนำมาขายใหม่
อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นแผนการเปิดโครงการใหม่จึงอยู่ในช่วงไตรมาสที่2 และ3 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ส่วนแผนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัหลักทรัพย์ คงต้องรอดูช่วงความเหมาะสมของตลาด ในช่วงนี้อยู่ในขั้นเตรียมตัวด้วยการทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง