ริชี่ เพลซ 2002 ทุ่ม 9 พันล้าน ลุยธุรกิจปี 62 แตกไลน์รุกธุรกิจเพื่อสุขภาพ ร่วมทุนญี่ปุ่นเปิด Senior Care ประเดิมโครงการแรก 500 ล้านบาท เปิดตัวปลายปีนี้ พร้อมผุดคอนโดมิเนียม อีก 3 โครงการ
ดร. อาภา อรรถบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการมูลค่า 90,000 ล้านบาท โดยมี ได้มีการแตกไลน์ธุรกิจด้วยการเปิด Senior Care 2 โครงการ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับทางญี่ปุ่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ โดยได้มีการเซ็นเอ็มโอยูไปแล้ว โดยโครงการแรก มีมูลค่า 500 ล้านบาท จะเปิดตัวปลายปีนี้ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เดอะริช เอกมัย มูลค่า 3,400 ล้านบาท โครงการริช พอยท์ ติดบีทีเอส วุฒากาศ มูลค่า 1,280 ล้านบาท และโครงการที่พระราม 9 มูลค่า 2,500 ล้านบาท
สำหรับโครงการ เดอะริช เอกมัย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-3-67 ไร่ บนถนนเอกมัย คลองเตยเหนือ เป็นคอนโดมมิเนียมสูง 37 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 6 ชั้น เป็นที่จอดรถอัตโนมัติ มีห้องพักจำนวน 487 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต มีห้องให้เลือก 3 แบบ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 51-60 ตารางเมตร ขนาด 1 ห้องนอน พลัส พื้นที่ 34-36 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ 51-60 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก แอคทีฟ สตูดิโอ สระว่ายน้ำแบบ Vivid Point 360 องศา ราคาเริ่มต้นที่ 4.79 ล้านบาท หรือ 165,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาเฉลี่ย 178,000 บาทต่อตารางเมตร เจาะกลุ่มลูกค้าทีเป็นเจน เอ็กซ์ และเจนวาย โดยเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย 70% ต่างชาติ 30% โดย 30-40% เป็นผู้อยู่อาศัยจริง โดยจะเปิดVVIP Day วันที่ื์ 30 มีนาคมนี้ และเปิดขายอย่างเป็นทางการสิ้นเดือนนี้
ส่วนผลการดดำเนินงานในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 451.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 239.32% ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 2,708.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,381.52 ล้านบาทหรือ เท่ากับ 104.10% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,327.13 ล้านบาท โดยปัจจัยหลัก ที่สนับสนุนการเติบโตในครั้งนี้มาจากการโอนรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น จำนวน1,366 .58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.97 % แบ่งเป็นอาคารชุด มูลค่ารวม 2,663.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,407.24 ล้านบาท เท่ากับ 111.99 % เนื่องจากโครงการริชพาร์ค @ ทริปเปิ้ลสเตชั่น สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถโอนรับรู้รายได้ในปี 2561 ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้หลักมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับปี 2562 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2,590 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน (LTV) ซึ่งมีผลกระทบต่อลูกค้าที่มาซื้อประมาณ 20 % โดยปัจจุบัน บริษัทมีสต็อกอยู่ 12,000 ล้านบาท เป็นสต็อกที่สร้างเสร็จพร้อมขาย 3,000 ล้านบาท และที่อยู่ระหว่างการสร้าง 8,300 ล้านบาท โดยบริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยการออกแคมเปญโปรโมชั่นทุกเดือน อีกทั้งมีการปรับแผนการทำตลาดในต่างประเทศ จากที่เคยรอให้ลูกค้าต่างประเทศเข้ามาหา เป็นตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อทำตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ เพื่อนำโครงการออกไปขายให้ชาวต่างชาติ ซึ่งกลุ่มลูกค้าใหญ่ ยังเป็นชาวจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น โดยลูกค้าจีนมีการซื้อจำนวนมากในปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหา TAC WARE ระหว่างสหรัฐและจีน