เน็กซัส เผยไตรมาสกแรก คอนโดเกิดใหม่ลดลง 20 % ผู้ประกอบการเน้นพัฒนาซิตี้คอนโด เจาะกลุ่ม เรียลดีมานด์ ระดับราคา 75,000-100,000 โดยผู้ประกอบการนอกตลาดเข้ามาร่วมแข่ง กินแชร์บริษัทในตลาดหุ้นเพิ่มชึ้นจาก 30 % เป็น 47 % ในขณะที่ราคาเฉลี่ยโดยรวมทั้งปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5-6 %
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ผลสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 พบว่ามีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ในตลาดทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 20% โดยทำเลที่มีการเปิดตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดยังคงเป็นพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง จำนวน 2,400 หน่วย คิดเป็น 21% รองลงมาเป็น พญาไท รัชดาภิเษก จำนวน 1,938 หน่วย คิดเป็น 17% และอันดับสามคือ ลาดพร้าว วังทองหลาง จำนวน 1,580 หน่วย คิดเป็น 14% โดยคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มซิตี้คอนโด ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง หรือ mid market ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาทรวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด ประมาณ 8,500 หน่วย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการจริง
นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการเอง ความเชื่อมั่นในตลาดสำหรับผู้ประกอบการใหม่ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบางรายเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่เข้ามาเริ่มทำโครงการเป็นครั้งแรก เห็นได้จากสัดส่วนของผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีถึง 47% ซึ่งโดยปรกติแล้วจะอยู่ในสัดส่วนประมาณ 30% เท่านั้น
อีกทั้งราคาคอนโดมิเนียมมีการลดลงประมาณ % โดยอยู่ที่ 139,400 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 140,600 บาทต่อตารางเมตร เนื่องจากคอนโดมีขนาดที่เล็กลง และตั้งอยู่ในซอยมากขึ้น
ในช่วงปีนี้ เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลาง หรือ mid market มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 4 น่าจะเห็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์และลักซูรี่เกิดขึ้น แม้จะเป็นตลาดที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนชาวไทยน่าจะลดลงไป แต่ตลาดนักลงทุนจากจีนยังมีอยู่ ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในตลาดปรับตัวสูงขึ้นไม่น่าจะเกิน 5-6% คอนโดมิเนียมให้เช่าระยะยาวก็จะเริ่มพัฒนามากขึ้นในทำเลที่เป็นที่ดินของรัฐบาลที่ปล่อยให้เช่าระยะยาวและที่ดินเอกชนแปลงสวยๆ
นางนลินรัตน์ กล่าวว่า หากจะกล่าวถึงการปรับตัวของตลาดหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า การปรับตัวของราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดมากกว่าในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะกระตุ้นธุรกิจหรือลดความร้อนแรงของธุรกิจมากกว่า อย่างไรก็ตามหลังจากการเลือกตั้ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่างชาติน่าจะมีมากขึ้น น่าจะเห็นการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ผลจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะทำให้มีการกำหนดราคาประเมินคอนโดมิเนียมใหม่ในปีหน้า น่าจะทำให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้นในแง่ของคอนโดมิเนียมมือสอง หากรัฐบาลมีการทบทวนภาษีการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อเอื้อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้มีการหมุนเวียนของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในตลาด ก็จะช่วยให้ตลาดการลงทุนในคอนโดมิเนียมเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น