ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ แจง ตลาดอสังหาฯเสี่ยงสูง ทั้งการเมืองภายนอกและภายใน ลลิล พร็อเพอร์ตี้ ตั้งการ์ดรับ เน้นพัฒนาแนวราบราคา 2-6 ล้านบาท จับกลุ่มเรียลดีมานด์ พร้อมปรับแผนใหม่ทุก 3 เดือน ตั้งเป้าปี 63 เปิดโครงการใหม่ 9-11 โครงการ มูลค่า 5,000-5,500 ล้านบาท คาดหมายยอดขาย 6,200 ล้านบาท เติบโต 13 % ยอดรับรู้รายได้ 5,250 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจปีหน้าคาดว่าจะโตได้ประมาณ 2.7-3.2 % ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ จะเติบโตได้ที่ 2-4 % โดยตัวช่วยผลักดันคือการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 40 ล้านคน ในขณะที่ปัจจัยลบคือการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง78 % ติดท็อป 5 ของโลก อย่างไรก็ตามนี้สถานการนี้จะพลิกผันหากเกิดสงครามสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ดังนั้นบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จึงได้วางแผนไว้รองรับสถานการณ์กรณีเกิดความผัดผวนทางเศรษฐกิจไว้ด้วยการทบทวนและวางแผนใหม่ในทุกๆ 3 เดือน และทยอยเปิดโครงการใหม่ๆเดือนละ 1 โครงการ จากแผนที่จะเปิดทั้งหมด 9-11 โครงการ มูลค่า 5,000-5,500 บาท โดยโครงการใหม่ทั้งหมดเป็นแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม ซึ่งสามารถระงับการเปิดใหม่ได้ง่าย อีกทั้งบริษัทได้มีการจำกัดปริมาณสต็อกสินค้าเพื่อการขายให้ไม่เกิน 3 เดือน โดยปัจจุบันบริษัท มี Black log อยู่ 1,000 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ โดยปีนี้เป็นปีแห่งการพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพ
ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปี 63 เน้นพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคา 2-6 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มที่เป็นเรียลดีมานด์ โดยใช้ ลลิล ทาวน์ ที่มีแบรนด์ Lanceo และ Lio เป็นหลัก โดยจะเปิดใหม่ 9-11 โครงการ มูลค่า 5,000-5,500 ล้านบาท ในทำเลที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลักประมาณ 80-90 % ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 6,200 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13% ยอดรับรู้รายได้ 5,250 ล้านบาท
ในปีนี้จะต้องเป็น Top of Mind ใน 3 ลำดับแรกของผู้บริโภค สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบราคา 2-6 ล้านบาท โดยจะนำเอากลยุทธ์ Lifestyle Marketing มาสื่อสารกับลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ อีกทั้งเป็นการสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้าเป้าหมาย สร้างความเชื่อมั่นในทุกมิติ ให้เกิดการแนะนำและบอกต่อ โดยในปีนี้จะเน้นต่อยอดการใช้สื่อ Digital Marketing ตลอดจนมีการนำ Big Data มาใช้ เพื่อวิเคราะห์และหา Customer Insight รวมถึงระบบ CRM เชิงรุก ในรูปแบบ Lalin 4.0 Connection ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐาน Lalin’s Quality of Living โดยตั้งงบด้านการตลาดในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 3 – 4%
ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และกำไรสะสมของบริษัทฯ ในส่วนของ Working Cap ในการดำเนินธุรกิจ นอกจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้ว ส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ และแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัท ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทฯ ในปัจจุบันอยู่ในระดับเพียงประมาณ 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอยู่มาก ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน