แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยแผนปี 2567 ชูธงโครงการแนวราบ ตั้งงบลงทุน 11,500 ล้านบาท เตรียมเปิดใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 28,000 ล้านบาท
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรรบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Bookings)ในปี 2567 ไว้ที่ 31,000 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าไว้ที่ 8,540 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีการเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2566 มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม วันเวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะโครงการแนวราบ มูลค่าโครงการเปิดใหม่จะเติบโต 6% จากปี 2566 โดยโครงการที่เปิดใหม่อยู่ในกรุงเทพฯปริมณฑล 10 โครงการ ต่างจังหวัด 1 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 11 โครงการ โดยมี 1 โครงการที่มีทาวน์เฮ้าส์อยู่ด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2566 ซึ่งมีการเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ รวมมูลค่า 43,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 16 โครงการ และสินค้าคอนโดมิเนียม 1 โครงการ เพิ่มขึ้น 8,500 ล้านบาทเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการตามแผนเดิม 34,960 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยา มูลค่า 15,000 ล้านบาท แทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีการใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 6,100 ล้านบาท และมีสัดส่วนยอดขาย (Bookings) แบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2566 ของบริษัทฯ เป็นบ้านเดี่ยว 68% ทาวน์เฮ้าส์ 5% คอนโดมิเนียม 27%
บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม คือ 73%:27% ระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 57% ของยอดขาย โดยจำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2567 จะมีทั้งหมดประมาณ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท
ด้านนายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพตลาดและข้อมูลสินค้าคอนโดมิเนียมของบริษัทฯว่า ในปี 2566 ตลาดคอนโดมิเนียมในบางระดับราคา (segment) ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567
โดยพบว่ายังมีความต้องการซื้อสินค้าใน segment ระดับบน และในบางทำเล จึงได้ปรับแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม โดยเปิดโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคม แทนโครงการที่ศรีนครินทร์ ตามแผนเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมริมน้ำ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยสร้างยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท
ทำให้ในปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปีก่อน คิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัทฯ
ส่วนในปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการของภาครัฐที่ขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแบรนด์ The Key เป็นสินค้าคอนโดมิเนียมในระดับราคาดังกล่าว ซึ่งโครงการที่ เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน คือ The Key MRT เพชรเกษม 48 เป็นคอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขาย ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท และจะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน จึงยังไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และยอดโอนที่ 2,000 ล้านบาท
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยฐานะการเงินของบริษัทฯว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 16,000 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียง 1.0 ซึ่งลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 โดยบริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,500 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 6,500 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการซึ่งก่อให้เกิดรายได้ค่าเช่า ทั้งที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 16 โครงการ ดำเนินการโดยบริษัท LHMH 12 โครงการ และบริษัท LH USA 4 โครงการ และมีแผนที่จะขายศูนย์การค้า 1 แห่งเข้ากองทรัสต์ฯ โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 58,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.12 ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.75%
การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USAจำนวน 2,870 ล้านบาท ประกอบด้วยพัฒนาโรงแรม Grande Centre Point Surawong 920 ล้านบาท Grande Centre Point Lumpini 870 ล้านบาท พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัท LHMH มีการลงทุนเพิ่มเติมในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่ารวม 1,952 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทรัสต์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.73% เป็น 26.17%
นายวิทย์ กล่าวว่า บริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินงานโครงการใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Surawong ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มูลค่าเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท และได้ขายโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Pattaya และ Grande Centre Point Space Pattaya ให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) เป็นมูลค่า 9,400 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีการรับรู้กำไรก่อนภาษีประมาณ 2,500 ล้านบาท ในไตรมาส 4 และส่วนที่เหลือจะมีการทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนระหว่างปี 2567-2575