บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM) แถลงแผนปี 2567เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ชูกรอบแนวคิด Triple Bottom Line สูตร 3P (Performance- People- Planet) สร้างการตลาดในใจคนสู่ความยั่งยืน เตรียมขยายสาขาใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เผยผลสำเร็จปีที่ผ่านากวาดรายได้ รวม 9,416 ล้านบาท
นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” วางนโยบายและกรอบแผนงานภายใน 3 ปีนี้ โดยยึดแนวคิด Triple Bottom Line สูตร 3P Performance – People – Planet เพื่อสร้างการตลาดในใจคนสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง ในด้าน “Performance” การดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) มุ่งเน้นที่การขยายขอบเขตธุรกิจ โดยคาดเปิด อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาใหม่ 1-2 สาขา/ปี พร้อมเผย New Store Model ต้นแบบอาคารประหยัดพลังงานรายแรกของธุรกิจค้าปลีกไทยและรายแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาสระบุรี บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ทุ่มงบกว่า 170 ล้านบาท (คาดเปิดบริการ Q1/2025) เตรียมขยาย Little Walk อีก 1-2 สาขา ได้แก่ สาขารัตนาธิเบศร์ ด้วยทุ่มงบ 550 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 12ไร่ ประกอบด้วย อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ขนาด 6,340 ตร.ม. และพื้นที่ร้านค้าเช่า 10,100 ตรม. (พร้อมให้บริการ Q4/2024) นอกจากนี้มีแผน รีโนเวทสาขาเดิมด้วยดีไซน์ใหม่ 1-2 สาขา อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาเชียงใหม่ และอุดรธานี พร้อมเปิด “DecorScape” แหล่งช้อปแห่งใหม่ใจกลางทองหล่อ โดยทุ่มงบร่วม 150 ล้านบาท ปั้นเป็น Lifestyle Mall ดีไซน์ Modern Luxury รูปแบบอาคาร 3 ชั้น บนพื้นที่ขนาด 3,000 ตร.ม.
ด้านต่างประเทศปัจจุบันขยายไปแล้ว 12 สาขา ใน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม 2, เมียนมาร์ 4, ลาว 1, กัมพูชา 2, เนปาล 2 และ มัลดีฟส์ 1 สาขา และปี 2024 เตรียมขยายเพิ่มอีก 4 สาขา ที่เวียดนาม 2 สาขา (เมืองโฮจิมินห์) และเมียนมาร์ 1 สาขา (เมืองมัณฑะเลย์) และประเดิมการขยายตลาดไปยังอินเดีย ที่เมืองปุเณ (Pune) พร้อมกันนี้ยังมองโอกาสขยายขอบข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่โซนตะวันออกกลาง เช่น ดูไบ, ซาอุดิอาระเบีย
นอกจากการขยายสาขาแล้วยังพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ ให้เติบโต 20% สร้างประสบการณ์ที่ดีรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในทุกช่องทาง โดยในปีที่ผ่านมา TikTok เป็น Mega trend ใหม่ของปี ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสเติบโต และเพิ่ม TikTok Shop เป็นช่องทางในการทำตลาดและจัดจำหน่ายสินค้า โดยมีทีมงาน LIVE Streaming โดยเฉพาะ และผลการดำเนินงานของ TikTok Shop จากปี 2566 ส่งผลให้ Index Living Mall เป็นหนึ่งใน Top Sellers หมวดสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ด้านการขยายฐานลูกค้าใหม่ บริษัทฯ ได้พัฒนาสินค้าอย่างหลากหลายทั้งดีไซน์และฟังก์ชันตอบโจทย์ความต้องการกลุ่ม New Gen เน้นการสร้าง Digital Experience และ Pop Display ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เชื่อมไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้ง ควบคู่การรักษาฐานลูกค้าเดิม โดย ขยายไลน์สินค้าแบรนด์ Furinbox จากออนไลน์สู่ออฟไลน์วางจำหน่าย 22 สาขา ทั่วประเทศ โดยจับกลุ่มลูกค้า C ที่มีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ในประเทศ รวมถึงการขยายสินค้าในกลุ่ม Customized ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น
อีกทั้ง ยังนำเทคโนโลยี AI ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ สำหรับงานดีไซน์ ช่วยลดขั้นตอนให้ง่ายและรวดเร็วต่อการทำงานของดีไซน์เนอร์ ขณะเดียวกันจุด มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อการออกแบบ เพิ่มประสิทธิภาพบริการด้านดีไซน์ ส่งเสริมการขายในกลุ่มสินค้า Customized Furniture และ เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ให้จบครบลูป ตลอดจน Index Mobile App บริการแอปพลิเคชั่นของคนรักการแต่งบ้าน ที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 2 / 2667 รวมถึง การผลิตและพัฒนาสินค้าเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ Eco Product เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ส่งเสริมและร่วมพัฒนาสินค้ากับกลุ่มรัฐวิสาหกิจและชุมชน ชูอัตลักษณ์-ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตั้งเป้าเพิ่มสินค้าใหม่ของเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในกลุ่ม ECO PRODUCT ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10% และในปี 2024 จะเพิ่มสัดส่วนสินค้าใหม่ทุกกลุ่มให้เป็น 20% เช่น กลุ่มสินค้า Recycled materials ที่ทำจากเส้นใยและพลาสติกรีไซเคิล ตลอดจนการนำไม้สักเก่ามา Upcycling เป็นเฟอร์ฯ ชิ้นใหม่, กลุ่มสินค้า Energy saving ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ เช่น หมอน ผ้าห่ม (Cooling Pillow & Blanket) และผ้าม่านกันแสงที่ไม่อมฝุ่น, กลุ่มสินค้าBiodegradable ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ อาทิ วัสดุจากฟางข้าวสาลี, กลุ่มสินค้า Eco Friendly product ที่ผลิตด้วยวัสดุธรรมชาติ และปรับแพ็กเกจสินค้าจากพลาสติก มาเป็นกระดาษ-พลาสติกที่รีไซเคิลได้ และถุงผ้า
นอกจากนี้ยังต่อยอดนโยบายที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบด้าน ทั้งการติดตั้ง Solar Rooftop อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว รวม 28 แห่ง ทั้ง อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์, ศูนย์การค้าเดอะวอล์ค, ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงาน ด้วยงบลงทุน 383 ล้านบาท ซึ่งปี 2566 สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 14,950.87 mWh คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 7,261.64 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tonCO2eq) และตลอด 6 ปีที่ผ่านมา สามารถช่วยประหยัดไฟไปมากถึง 300 ล้านบาท และยังจะขยายการติดตั้ง Solar Rooftop ไปยังสาขาที่เปิดใหม่ตามลำดับ อีกทั้งจะเพิ่มสัดส่วนการขนส่งพลังงานสะอาด (EV Truck) อีก 20% ปี 2024 ซึ่งปีที่ผ่านมาการขนส่งด้วยรถ EV ทั้ง 7 คัน รวม 5 จังหวัด เช่น จ.นครสวรรค์ พิษณุโลก นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ราว 5 ล้านบาท / ปี เทียบกับอัตราการเดินรถระหว่างเครื่องยนต์สันดาปกับรถ EV และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 878.59 (tonCO2 eq) (*จำนวน CO2 อ้างอิงจำนวนการขนส่ง) เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 106,000 ต้น ควบคู่กับการจัดการขยะ 3Rs Reduce Reuse Recycle ร่วมกับภาคีภาครัฐและเอกชน ซึ่งในปีที่ผ่านมามีปริมาณการรีไซเคิลขยะและของเสียได้ถึง 8,284.37 ตัน และจากการใช้พลังงานทดแทนและการจัดการขยะ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 14,160.68 tonCO2eq อีกทั้งยังต่อยอดการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยเข้าร่วมโครงการ Care The Wild “ปลูกป่า กับ SET” เพิ่มพื้นที่สีเขียวในท้องที่แห้งแล้ง นำร่องที่ป่าชุมชนบ้านโคกโสกขี้หนู อ.ลำทะเมนชัย จ.นครราชสีมา จำนวน 2,000 ต้น บนพื้นที่ 10 ไร่ จะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 18 tonCO2 eq/ปี
การดำเนินธุรกิจของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ผ่านการดำเนินงานใน 5 แกนหลักคือ กลยุทธ์ความรวดเร็วและว่องไว รุกไวและปรับตัวเร็ว ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตัดสินด้วยข้อมูลเป็นหลัก นำมาซึ่งถูกทาง ถูกใจ ถูกต้อง Space Optimization การจัดสรรพื้นที่ การขยายสาขาใหม่ การปรับปรุงสาขาเดิมให้เหมาะสมกับวิถีชีวิต พฤติกรรมความชื่นชอบของลูกค้า และ การนำเทคโนโลยีมาบูรณาการ เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมามีการเติบโตก้าวกระโดดและแข็งแกร่งกว่าก่อนช่วงการระบาดโควิด-19 สามารถแซงหน้าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 9,416 ล้านบาท เติบโต 4.5% จากปี 2565 ด้านกำไรอยู่ที่ 726 ล้านบาท เติบโต 10.2% คาดปี 2567 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก (Double-Digit growth)