ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 และแนวโน้มปี 2568” พบว่า มียอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ –0.8 และจำนวนมูลค่าลดลงร้อยละ –0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ถือเป็นการติดลบลดลง จากปัจจัยการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ก่อนสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้สิ้นสุดมาตรการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลงร้อยละ –50.8 และจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ –44.8 ส่วนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ –18.3 โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบร้อยละ –34.7 แต่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 1,752.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจาก EEC เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เป็นศูนย์กลางของนิคมอุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในพื้นที่มีแรงงานทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาทำงานในพื้นที่มากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ –6.7 และมูลค่าลดลงและร้อยละ –7.8 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลงร้อยละ –32.3 และจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ –40.2 ส่วนพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ลดลงร้อยละ –15.8 โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบมากถึงร้อยละ –15.8 และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดลดลงร้อยละ –15.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดในภูมิภาคมีความต้องการมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งนี้ คาดการณ์ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีวงเงิน 2.6 แสนล้านบาท ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ทำให้การลงทุนและการท่องเที่ยว ขณะที่โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งมุ่งเน้นการลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับประชาชน ทำให้คาดการณ์ว่าจะทำให้หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะมีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปี 2567 ประกอบด้วย
- สถานการณ์ด้านอุปทานที่อยู่อาศัย
1.1 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน 29 โครงการ ลดลงร้อยละ –50.8 และมีจำนวนหน่วย 2,643 หน่วย ลดลงร้อยละ –44.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด จำนวน 1,139 หน่วยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.1 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็น ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 756 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.6 และบ้านแฝด จำนวน 722 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.3 ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรรตามลำดับ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 3)
แผนภูมิที่ 3 สัดส่วนจำนวนหน่วยในโครงการที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
ส่งผลให้ในภาพรวมปี 2567 มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน 147 โครงการ ลดลงร้อยละ –32.3 และจำนวนหน่วย12,415 หน่วย ลดลงร้อยละ –40.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 (รายละเอียดตามตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 4) โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 5,119 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.2 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,782 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.5 และบ้านแฝดจำนวน 2,454 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.8ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์ และที่ดินจัดสรร ตามลำดับ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 4)
แผนภูมิที่ 4 สัดส่วนจำนวนหน่วยในโครงการที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 2567
ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ปี 2567 จังหวัดที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดเรียงลำดับได้ ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 5,964 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.0 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ –30.6 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 3,284 หน่วย ลดลงร้อยละ -19.0 รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 1,768 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.0 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 862 หน่วย ลดลงร้อยละ –62.7
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 4,998 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.3 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ –41.7 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 2,462 หน่วย ลดลงร้อยละ -16.5 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,301 หน่วย ลดลงร้อยละ -57.5 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 1,226 หน่วย ลดลงร้อยละ –50.6
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 1,453 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.7 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ –59.7 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 552 หน่วย ลดลงร้อยละ -60.6 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 534 หน่วย ลดลงร้อยละ -46.3 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 366 หน่วย ลดลงร้อยละ –67.3 (รายละเอียดตามตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 5)
แผนภูมิที่ 5 อัตราขยายตัว (YoY) จำนวนหน่วยในโครงการที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC แยกรายจังหวัด ปี 2567
แผนภูมิที่ 7 จำนวนหน่วยในโครงการที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC ในปี 2567 และประมาณการปี 2568
สำหรับแนวโน้มใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 2568 คาดว่า จะขยายตัวดีขึ้น หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและกระตุ้นให้มีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น โดยคาดการณ์จะมีจำนวนใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 15,228 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยคาดว่าอยู่ในช่วงประมาณ 13,705 ถึง 16,751 หน่วย หรือมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างร้อยละ 10.4 ถึงร้อยละ 34.9 เมื่อเทียบกับจำนวนในปี 2567 ที่มี 20,765 หน่วย
1.2 พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเอง และที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวน 842,316 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 666,857 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -34.7 และอาคารชุดจำนวน 175,460 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,752.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพียง 9,473 ตารางเมตร
สำหรับปี 2567 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเอง และที่อยู่อาศัในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 3,565,648 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 3,249,650 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -15.8 และอาคารชุดจำนวน 315,999 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -15.2 เมื่อเทียบกับปี 2566
ส่วนแนวโน้มพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 2568 คาดว่า จะมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน 3,654,453 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่จำนวน 3,471,730 – 4,202,621 ตารางเมตร มีอัตราการขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ -2.6 ถึงร้อยละ 17.9 เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน 4,233,728 หน่วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งคาดว่า การขออนุญาตจัดสรรที่ดินเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะมีการขอปลูกสร้างบ้านของประชาชนเพิ่มขึ้น (รายละเอียดตามตารางที่ 2 แผนภูมิที่ 10 และ 11)
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ปี 2567 จังหวัดที่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่จำนวน 2,298,759 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.5 ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -7.3 เมื่อเทียบกับปี 2566
โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 2,015,536 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 1,415,774 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -10.7 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 365,993 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 152,311 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -0.4 เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 283,403 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -16.8 เมื่อเทียบกับปี 2566
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีพื้นที่จำนวน 790,936 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.2 ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -20.1 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 761,528 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 552,325 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -13.4 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 158,431 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -25.2 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 43,792 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -58.7 เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 29,408 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับปี 2566
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่จำนวน 475,954 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.3 ของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -37.7 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 472,767 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 384,206 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -35.4 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 43,556 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -30.7 และเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 29,935 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 3,188 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -53.2 เมื่อเทียบกับปี 2566
- ด้านอุปสงค์ที่อยู่อาศัย
2.1 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย
ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 13,365 หน่วย มีมูลค่า 33,407 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ –0.8 และร้อยละ –0.5 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีจำนวน 13,475 หน่วย และมูลค่า 33,591 ล้านบาท โดยเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุดจำนวน 9,408 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.4 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดลดลงร้อยละ –0.2 และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 24,051 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -0.2 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 9,427 หน่วย และมูลค่า 24,100 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีจำนวน 3,957 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.6 ลดลงร้อยละ -2.2 และมีมูลค่า 9,356 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 4,048 หน่วย และมูลค่า 9,491 ล้านบาท
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ มีจำนวน 6,047 หน่วย และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง มีจำนวน 7,318 หน่วย ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เท่ากับ 45 : 55 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ มีจำนวน 18,081 ล้านบาท และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง มีจำนวน 15,326 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนมูลค่าที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองเท่ากับ 54 : 46
สำหรับปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 48,095 หน่วย มีมูลค่า 119,663 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ –6.7 และร้อยละ –7.8 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 51,536 หน่วย และมูลค่า 129,767 ล้านบาท โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุด จำนวน 33,097 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68.8 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ลดลงร้อยละ –8.7 และมีมูลค่าลดลงร้อยละ –6.3 หรือมีมูลค่า 84,613 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีจำนวน 36,245 หน่วย และมีมูลค่า 90,333 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีจำนวน 14,998 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.2 มีมูลค่า 35,051 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ –1.9 และร้อยละ –11.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 15,291 หน่วย และมีมูลค่า 39,434 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 49,259 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 44,333 ถึง 54,185 หน่วย มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างร้อยละ -7.8 ถึงร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับปี 2567 และคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 121,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 109,024 ถึง 133,251 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างร้อยละ -8.9 ถึงร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งมีมูลค่า 129,767 ล้านบาท (
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยเรียงตามมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เรียงลำดับ ดังนี้
อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ 32,797 หน่วย ลดลงร้อยละ –5.0 และมีมูลค่า 85,983 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –6.0 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 34,527 หน่วย และมีมูลค่า 91,465 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 19,324 หน่วย มีมูลค่า 53,222 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 7,875 หน่วย มีมูลค่า 14,718 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 13,473 หน่วย มีมูลค่า 32,761 ล้านบาท
อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 11,292 หน่วย ลดลงร้อยละ –7.7 และมีมูลค่า 24,601 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –10.1 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 12,239 หน่วย และมีมูลค่า 27,351 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัแนวราบจำนวน 10,243 หน่วย มีมูลค่า 23,032 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 5,175 หน่วย มีมูลค่า 13,468 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 1,049 หน่วย มีมูลค่า 1,569 ล้านบาท
อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 4,006 หน่วย ลดลงร้อยละ –16.0 และมีมูลค่า 9,079 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –17.1 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 4,770 หน่วย และมีมูลค่า 10,951 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์
ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 3,530 หน่วย มีมูลค่า 8,358 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 1,617 หน่วย มีมูลค่า 4,492 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 476 หน่วย มีมูลค่า 721 ล้านบาท
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบ ปี 2567 พบว่า ในพื้นที่ EEC มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) จำนวน 13,606 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 41,771 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 19,491 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 42,842 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสองปี 2567 เท่ากับ 41 : 59 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองมีสัดส่วน 49 : 51 และเมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 10,608 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.1 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 4,883 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 5,725 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 6,947 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.0 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 2,977 หน่วย
บ้านมือสองจำนวน 3,970 หน่วย และเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 5,226 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.8 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 3,176 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 2,050 หน่วย ตามลำดับ และถ้าพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด มีจำนวน 26,743 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.6 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด โดยแบ่งเป็น มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 12,327 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 14,416 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 19,879 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.5 โดยแบ่งเป็น มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 12,125 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 7,753 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 12,369 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.6 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 5,279 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 7,090 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดปี 2567 พบว่า ในพื้นที่ EEC มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ (หรืออาคารชุดสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) จำนวน 7,862 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 21,590 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมือสอง (อาคารชุดมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 7,136 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 13,461 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสองปี 2567 เท่ากับ 52 : 48 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของอาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสองมีสัดส่วน 62 : 38
เมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด มีจำนวน 3,394 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.6 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 2,309 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 1,085 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท มีจำนวน 2,998 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.0 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,135 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 1,863 หน่วย และเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,860 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.1 โดยแบ่งเป็น การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,648 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 1,212 หน่วย ตามลำดับ และหากพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด มีจำนวน 8,282 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.6 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 5,634 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 2,648 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 7,892 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 5,546 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 2,346 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 4,999 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.3 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 2,895 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 2,104 ล้านบาท ตามลำดับ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 20 และ 21)